วิจารณ์หนังสือ "นักเรียนเลวในระบบการศึกษาแสนดี" โดย หมอแปลก
- หมอแปลก
- Oct 24, 2016
- 1 min read
เนติวิทย์ เป็นชื่อของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักของประชาชนชาวไทยหลายคน จากการแสดงความคิดเห็นและแสดงการเคลื่อนไหวทางสังคม การมีอยู่ของชายคนนี้ทำให้เกิดคำถามและการถกเถียงขึ้นมากมาย บ้างก็บอกว่าเขาคือคนรุ่นใหม่ผู้กล้าตั้งคำถามกับสิ่งที่เป็นอนุรักษ์นิยม บ้างก็บอกว่าเขาคือเด็กนรกนอกคอกจากการแสดงความคิดเห็นที่ถูกมองว่าก้าวร้าว ทั้งการขับเคลื่อนให้ยกเลิกทรงนักเรียน ปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาที่ล้าหลัง รวมถึงวิจารณ์การทำพิธีกรรมหน้าเสาธงในโรงเรียน ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบเนติวิทย์ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่คุณต้องอ่านเพื่อที่จะรู้จักเขามากขึ้น
ในฐานะที่เป็นอดีตเลขาธิการกลุ่มศึกษาเพื่อความเป็นไท และบรรณารักษ์ห้องสมุดสันติประชาธรรม และสถานะใหม่ซึ่งก็คือ นิสิตคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาการปกครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยอายุเพียง 19 ปี เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ได้เขียนหนังสือเล่มใหม่ชื่อว่า นักเรียนเลวในระบบการศึกษาแสนดี หนังสือเล่มนี้บอกเล่าความคิด ทัศนคติ และวีรกรรมอันห้าวหาญของเนติวิทย์ที่จะเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนและระบบการศึกษาไทย ด้วยกฎเกณฑ์และกรอบความคิดที่โรงเรียนมีอยู่ โรงเรียนสอนนักเรียนให้เป็นเด็กดี เชื่อฟังอย่างนอบน้อม ทำตามที่ผู้ใหญ่สอนทุกระเบียดนิ้ว ด้วยมาตรฐานการวัดแบบนี้ทำให้เนติวิทย์ถูกตราหน้าว่าเป็น “เด็กนอกคอก” เขาถูกตีตราว่าเป็นความผิดพลาดของระบบ ไม่ใช่นักเรียนตามที่ปลูกฝังค่านิยมเอาไว้ เป็นเหมือนกับมนุษย์กลายพันธุ์ที่ไม่เข้ากับเหล่ามนุษย์ธรรมดาสามัญ เนติวิทย์ เป็นเด็กที่มีจุดยืนทางความคิดของตนอย่างชัดเจน เขากล้าพูดกล้าแสดงความเห็นสิ่งที่เด็กหลายคนรู้สึกแต่ไม่กล้าออกมา การแสดงออกของเขากลับไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาถูกตีตรา ถูกล่าแม่มด ถูกหาว่าเป็นเด็กไม่รักชาติ พฤติกรรมของเนติวิทย์มี่ทั้งความกวนเกรียน ความกล้าบ้าบิ่น แฝงไปด้วยความมุ่งหวัง ความฝัน แต่ก็เจือปนไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ความเศร้า และความผิดหวัง ต่อระบบการศึกษาที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้น ชื่อหนังสือ “นักเรียวเลวในระบบการศึกษาแสนดี” จึงเป็นชื่อที่แฝงไปด้วยการประชดชัน สื่อให้เห็นว่า สังคมไทยมองคนที่แตกแต่ง ไม่อยู่ในกรอบว่า เป็นคนไม่ดี มีความเลว ทั้งๆที่เจตนาของเขานั้นแฝงไปด้วยความหวังดีก็ตาม
“เปลือก”
สิ่งที่เกิดขึ้นในโรงเรียนและระบบการศึกษาไทยคือ การที่บุคคลหลายคนยึดถือแค่ภาพลักษณ์หรือเปลือก บุคลากรระดับสูงในโรงเรียนหลายคนพยายามดำเนินโครงการสร้างอาคารเรียนให้ดูหรูหรา ทันสมัย นำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในโรงเรียนเพื่อที่จะทำให้สถานศึกษาได้รับรางวัลพระราชทานและรางวัลโรงเรียนมารตฐานสากล ไม่ได้เกิดผลดีต่อผู้ที่ศึกษาหาความรู้อย่างแท้จริง เช่น ห้องสมุดของหลายๆโรงเรียนมีการสร้างและตกแต่งอย่างสวยงามเพื่อเป็นการโชว์ผู้ปกครองและบุคคลภายนอกที่เข้ามาเยี่ยมโรงเรียน หนังสือเป็นเพียงแค่ไม้ประดับ ไม่ได้มีหน้าที่ทำให้เด็กค้นคว้าหาความรู้ เกิดความรู้แจ้งในปัญญาแต่อย่างใด
การศึกษาก็ยึดแต่เพียงเปลือกนอกเช่นกัน เช่น วิชาพุทธศาสนา เราให้นักเรียนท่องจำบทสวดมากมาย แล้วก็เก็บคะแนน ทำให้เด็กเกิดอาการเบื่อหน่าย มองว่าศาสนาเป็นสิ่งที่อยู่ไกลตัว ตัวของผมเองก็เคยประสบกับสิ่งเหล่านี้มา ผมเคยมองว่า พุทธศาสนา คือสิ่งที่น่าเบื่อชวนหลับที่สุดในหมวดวิชาสังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม หากลองอ่านดูในหนังสือเล่มนี้จะพบว่า เนติวิทย์ยึดเอาหลักคำสอนของพระพุทธศาสนามาเป็นตัวอย่าง และเปรียบเปรย แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นนักเรียนที่ศึกษาวิชานี้อย่างถึงแก่นแท้จริงๆ ไม่ได้เพียงแต่ท่องบทสวดตามน้ำ การให้นักเรียนท่องบทสวดเก็บคะแนนไม่ได้ทำให้กระตุ้นสติปัญญา เกิดความรู้แจ้งในหลักธรรมแต่อย่างใด หากทุกคนได้ลองศึกษาศาสนาพุทธอย่างจริงจังถึงแก่น ก็จะรู้ได้ว่า ศาสนาพุทธอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด และสามารถนำมันไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ หลักอริยสัจสี่เป็นสูตรที่สามาถทำมาแก้ปัญหาชีวิตได้จริง และสามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องความรัก การเรียน การงาน และการดำรงชีวิต ขั้นตอนแรกของการแก้ปัญหาคือ การรู้ว่าปัญหามีอยู่จริง และรู้จักสาเหตุของมัน แล้วจึงจะหาทางออกของปัญหาได้
หลักธรรมอีกบทหนึ่งที่เนติวิทย์ชอบยกมาบ่อยๆก็คือ กาลามสูตร ซึ่งเป็นหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนให้พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใดๆอย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ เราอยู่ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ สื่อออนไลน์ถูกใช้อย่างกว้างขวาง มีการส่งต่อข้อความ กดแชร์กันท่ามกลางผู้ใช้อย่างมากมาย หลายคนกดแชร์บทความโดยที่ไม่ได้คิด ไม่ได้อ่าน ไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้องอย่างถ้วนถี่ ทำให้ข้อความเหล่านั้นสร้างความเข้าใจอย่างผิดๆส่งผลกระทบต่อคนมากมาย และสร้างความเดือดร้อนแก่บุคคลบางคนโดนที่เราไม่รู้ตัว อีกทั้งเหล่าผู้มีอิทธิพลใช้อำนาจปลุกระดมครอบเงาทางความคิดให้แก่ประชาชน ทำให้พวกเขาไม่รู้สิ่งใดถูกผิดเพราะพวกเขาไม่รู้จักแยะแยะสิ่งใดให้คุณโทษ เกิดความแตกแยกและการลดความเป็นมนุษยของฝ่ายตรงข้ามลง นำไปสู่ความเสียหายที่เกิดขึ้นในสังคม นั่นแสดงให้เห็นว่าการศึกษายึดแต่เปลือกนอก ทำให้เด็กไล่ตามคะแนนและนำสิ่งที่เรียนท่องจำกันมาไปใช้ในการสอบเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงแต่อย่างใด
“สงครามและการปฏิรูป”
ระบบการศึกษาของไทยเปรียบเสมือนสมรภูมิเดือด เป็นสนามรบที่ส่งต่อไปสู่ตลาดแรงงาน พ่อแม่ปลูกฝังให้ลูกสอบติดคณะและมหาวิทยาลัยที่ดี ตั้งใจเรียนหนังสือ ทำให้เด็กหันเหสู่การกวดวิชาอย่างบ้าคลั่ง สำหรับผมแล้ว ผมเห็นด้วยกับการที่เด็กต้องต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคที่อย่างลำบาก ผมยอมรับว่าผมค่อนข้างชอบทุนนิยมพอสมควร เพราะมันทำให้เด็กแข็งแกร่งขึ้น ผมเคยผ่านสิ่งเหล่านี้มา มันทำให้ผมเป็นคนที่รู้จักต่อสู้ ไม่ท้อถอยต่อปัญหา การสอบแข่งขันทำให้เด็กที่ยากจนขาดโอกาสสามารถถีบตัวเองขึ้นมาเพื่อที่จะมีชีวิตและการงานที่ดีขึ้นได้ แต่เหรียญย่อมมีสองด้าน หากลองมองดูในอีกด้านหนึ่ง จะพบว่าเราเป็นสังคมที่เชิดชูการสอบเหลือเกิน ในแง่ของระบบเศรษฐกิจก็พุ่งไปที่ทุนนิยมแบบสุดตัว โรงเรียนเป็นโรงงานที่ผลิตแรงงานที่ตอบสนองต่อเหล่านายทุน มีความเป็นลูกน้อง ลูกจ้าง แต่ไม่มีความเป็นผู้นำ เป็นการเรียนการสอนที่บูชาตลาดงาน เด็กบางคนขาดโอกาส ไม่สามรถที่จะวิ่งบนลู่แห่งการแก่งแย่งได้ การแข่งขันทำให้เกิดผู้แพ้ผู้ชนะ เด็กที่พ่ายแพ้ต่อระบบและกฎเกณฑ์ต้องกลายเป็นคนชายขอบ เนื้อหาที่เรียนที่จำกันไปเป็นไปเพื่อการแข่งขัน ไม่ได้เกิดประโยชน์ในระยะยาวแต่อย่างใด นั่นทำเนติวิทย์มองเห็นว่า เราควรมีรัฐสวัสดิการขึ้นในสังคมไทย เพราะหนทางแห่งสงครามการศึกษา ทำให้ขาดการแบ่งปันน้ำใจและความเอื้ออาทรต่อกัน กลายเป็นการเอารัดเอาเปรียบอย่างไม่รู้จักจบสิ้น เด็กนักเรียนยึดถือในชื่อเสียงและเกียรติยศจอมปลอม
เนติวิทย์ได้ชี้ว่า ที่ผ่านมาโรงเรียนของเขาได้พยายามเน้นความเลิศทางวิชาการมาโดยตลอด มีการเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการด้วยการติวพิเศษให้อย่างหนัก แต่ทุกอย่างก็คือความกลวงเปล่า ผมชอบโครงการศุกร์สร้างสรรค์ที่เนติวิทย์ได้จัดทำขึ้น กิจกรรมนี้จัดให้นักเรียนเข้ามาชมภาพยนตร์และเสวนาร่วมกับวิทยากร หลายคนอาจจะมองว่าภาพยนตร์เป็นสื่อที่ไร้สาระ ไม่เหมาะกับการเรียนรู้ แต่ภาพยนตร์หลายเรื่องกลับแทรกข้อคิดและสาระความรู้ที่ไม่ได้มีการยัดเยียด ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้แบบซึมซับโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่ได้เอาแต่ยัดการกวดวิชาไปตลอด แต่น่าเสียดายที่โครงการนี้เจออุปสรรคและปัญหามากมาย จนต้องถูกล้มไปในที่สุด
ในส่วนของการฏิรูปการศึกษา เนติวิทย์เขียนว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทั้งผู้ใหญ่และเด็กต่างก็ใฝ่ฝันถึงมาอย่างยาวนาน มีความพยายามที่จะปฏิรูปการศึกษาอยู่หลายหน แต่ก็เป็นการปฏิบัติที่เกิดขึ้นแบบลอยๆ เป็นจริงได้ยาก การศึกษาไม่สามารถแก้ไขปัญหาโดยแยกจากเรื่องของการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมได้ เนติวิทย์มองว่าสังคมและวัฒนธรรมไทยเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีอำนาจและผู้ที่ตกอยู่ใต้อำนาจ ห้ามมิให้มีการตั้งคำถามและตรวจสอบ ผู้เรียนต้องดำเนินไปตามกรอบที่กำหนดไว้ ไม่ได้ส่งเสริมความถนัดและตัวตนของเด็กอย่างแท้จริง
เนติวิทย์ยึดหลักปรัชญาการศึกษาของประเทศที่เป็นรัฐสวัสดิการ ในแง่ที่ว่า เด็กคือศูนย์กลางทางการศึกษา จุดประสงค์ของการศึกษาคือการมำให้เด็กมีความสุข บรรลุตามความถนัดและความฝันของแต่ละคน ที่ผ่านนโยบายต่างๆไม่ได้บรรลุผลข้อนี้เลย การพัฒนาให้เด็กเป็นศูนย์กลางไม่ใช่การบังคับตามระเบียบแบบแผน หรือการสั่งสอนอบรมอันน่าเบื่อ การเรียนต้องมีความสนุก กระตุ้นให้เด็กเกิดการสงสัยและตั้งคำถาม และ การเรียนต้องเชื่อมโยงสมองและจิตใจเข้าด้วยกัน
“อนาคต”
ยังมีเนื้อหาและลายละเอียดอีกมากมายที่เนติวิทย์ได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นการยัดเยียดสอนประวัติศาสตร์ชาติไทยที่เน้นความเป็นชาตินิยม บิดเบือนให้เกิดความคลั่งชาติ หน้าที่และบทบาทของครูที่มุ่งไปที่ความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่มากกว่าที่จะสอนผู้เรียน ความเป็นอำนาจนิยมในระบบการศึกษาไทย ห้ามให้ผู้เรียนตั้งคำถาม อยู่ในกฎเกณฑ์ที่ผู้ใหญ่กำหนดไว้ ประเด็นเรื่องการหมอบกราบในวันไหว้ครู การเลือกตั้งประธานนักเรียนที่มีไปอย่างไม่จริงจัง ไม่ได้เกิดผลทำให้โรงเรียนพัฒนาอย่างจริงจัง และการแสดงความเคารพต่อครูบาอาจารย์ของเนติวิทย์ อาจจะมีบทหนึ่งที่ทำให้หลายคนตกใจและเหวอ ซึ่งก็คือบท “จดหมายของนักเรียนเลว” ตอนเปิดมาเจอบทนี้ ผมยอมรับว่า เหวอพอสมควร ทำไมจดหมายมีความเป็นทางการมาก แต่พออ่านไป ก็สนุกพอสมควร เล็งเห็นถึงความสามารถในการใช้ภาษาเขียนในการสื่อสารของเนติวิทย์
ผมเชื่อว่าเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จะก่อให้เกิดการขบคิด และการโต้เถียง เกิดการตั้งคำถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ความคิดเห็นบางอ่างของเนติวิทย์คนนี้อาจจะมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการหมอบกราบ อย่างที่ผมเขียนไป ไม่ว่าคุณจะคิดยังไงกับเด็กคนนี้ ผมอยากให้ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ คุณจะรู้จักเนติวิทย์มากขึ้นกว่าที่คุณรู้จักตามข่าวบนอินเทอร์เน็ต
ส่วนที่ผมอยากให้มีเพิ่มเติมในหนังสือเล่มนี้ ก็คืออยากให้เนติวิทย์เพิ่มเติมประวัติของตนเองเข้ามา บอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่เกิด อะไรคือสิ่งที่หล่อหลอมให้เข้ามีความคิดเช่นนี้ เขาถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน ผ่านการขัดเกลาทางสังคมอย่างไร และอยากให้เขาบอกเล่า gap year ที่เขาได้ไปศึกษาหาความรู้ที่อินเดียด้วย แต่ผมก็ขอชื่นชมว่า สิ่งที่เขาเขียนมีการอ้างข้อมูลที่น่าเชื่อถือ มีการอ้างถึงบุคคลต่างๆที่มีอยู่จริง ไม่ได้เป็นเนื่อหาที่เลื่อนลอยแต่อย่างใด มีการใช้ภาษาเขียนที่เก่งกาจ
สุดท้ายนี้ ผมมองว่าการปฏิรูปการศึกษาก็เหมือนกับการเปลี่ยนผังเมืองใหม่ เราไม่สามารถทำให้เสร็จได้ภายในวันเดียวหรือไม่กี่ปี มันอาจต้องใช้เวลาที่ยาวนานเท่าชั่วชีวิตของคนๆนึง การศึกษาเชื่อมโยงถึงเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ส่งผลต่อความเป็นไปของประเทศชาติอย่างมาก ดังคำที่เขาพูดไว้ว่า “ เด็กคืออนาคตของชาติ”การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงไม่อาจสำเร็จได้ด้วยน้ำมือของคนเพียงคนเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากคนทุกคน สิ่งที่เนติวิทย์ทำไม่ใช่การล้างกระดานในชั่วข้ามคืน แต่เป็นการจุดเปลวเพลิงที่จะลุกโชนในวันข้างหน้า ผมอยากให้ทุกคนอ่านหนังสือ บางคนอาจจะชอบ บางคนอาจจะเกลียด บางคนอาจจะตกใจ บางคนอาจจะได้ขบคิด แต่สิ่งที่ทุกคนได้จากหนังสือเรื่อง “นักเรียนเลวในระบบการศึกษาแสนดี” เป็นประโยชน์อย่างแน่นอน ไม่มากก็น้อย
ในชีวิตนี้ พึ่งเคยเขียนรีวิวหนังสือครั้งแรก หากผิดพลาดประการใด ผมพร้อมปรับปรุงและนำไปแก้ไขในการเขียนครั้งต่อไปครับ
นิสิตคนหนึ่งในคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาการปกครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Comments