top of page

Recent Posts

Archive

Tags

หนังสือตำราเรียนสังคมวิทยาจะเลือกอ่านอะไรดี? ระหว่างของจุฬาฯกับมช. (ตอนจบ)

  • Writer: เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล
    เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล
  • Dec 28, 2016
  • 2 min read

การเปรียบเทียบหนังสือ 2 เล่มนี้ ตอนแรกผมก็คิดว่าจะเขียนให้กระชับที่สุดไม่กี่หน้า (succinct) แต่ถ้าสั้นเกินไป ไม่ยกข้อมูลมาประกอบให้มาก ผู้อ่านก็อาจจะไม่เชื่อถือพอ หาว่าผมมีอคติไปก็ได้ แต่ยาวมากไปก็คงจะไม่ดีแน่ เพราะจะไม่มีใครอ่านเอาซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของผมที่อยากให้คนอ่าน ดังนั้นที่เขียนในภาคแรกนั้นถือว่าเป็นส่วนพิจารณาหลักของผม ส่วนนี้ ผมจะพิจารณาหัวข้อร่วมกันของทั้งสองเล่ม โดยคัดมาจำนวนหนึ่งเท่านั้น เพื่อให้ผู้อ่านได้คิดเปรียบเทียบอีกนิดเดียวเท่านั้น ผมสัญญา!

("หนังสือมช." ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสังคมวิทยา บรรณาธิการโดย วสันต์ ปัญญาแก้ว)

สถาบันการเมือง

จุฬาฯ: ในบทที่5 เรื่องสถาบันสังคม - อธิบายสถาบันการเมืองการปกครอง ว่ามีองค์ประกอบสำคัญอะไรบ้าง และสถานภาพและบทบาทมีอะไรบ้าง หน้าที่มีอะไรบ้าง และบรรทัดฐานทางสังคมต่อสถาบันนี้

มช.: ในบทที่2 ส่วนสถาบันทางสังคม – อธิบายสถาบันการเมือง ว่า

“แบบอย่างพฤติกรรมเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างสมาชิกในสังคมด้วยกันและกับกลุ่มหรือองค์กรต่างๆทางสังคมด้วย เนื่องจากในทุกๆความสัมพันธ์ทางสังคมล้วนแฝงไว้ด้วยความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างคู่ของความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่าย ... ในความสัมพันธ์ทางชีวภาพดังกล่าว ใครมีสิทธิ หน้าที่และอำนาจอย่างไรบ้าง อาทิเช่น ในสังคมที่ยึดถืออุดมการณ์ชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) มีค่านิยมว่าพ่อจะมีอำนาจมากกว่าในความสัมพันธ์กับลูก สามารถกำหนดชี้นำหรือควบคุมลูกได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งสะท้อนว่า ความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นความสัมพันธ์ทางสังคมที่ไม่เท่าเทียมกัน” (น.42-43)

แค่นี้ก็ทำให้ผู้เรียนต้องมาทบทวนแล้วว่าที่ตัวเองยึดถือนั้นมันสะท้อนความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบไหน? และจริงไหม?

ผู้เขียนดูจะไม่เห็นด้วยกับการอธิบายแบบจุฬาฯอย่างเห็นได้ชัด ดังปรากฏในบรรทัดท้ายๆ

“ดังนั้นสำหรับนักสังคมวิทยาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันทางการเมืองจึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การศึกษาเกี่ยวกับระบบการเมืองซึ่งถือว่าเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของความสัมพันธ์เชิงอำนาจทางสังคมเท่านั้น แต่จะให้ความสำคัญต่อระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจทางสังคมภายใต้โครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมหนึ่งๆรวมไปถึงรูปแบบของการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่นำไปสู่การผลิตสร้าง ต่อต้าน ย้อนแย้ง ต่อรองหรือขัดขืน แบบแผนความสัมพันธ์เชิงอำนาจทางสังคมต่างๆด้วย”(น.43)

การขัดเกลาทางสังคม

ในส่วนของการขัดเกลาทางสังคม จุฬาฯยกว่าตัวตน(self) Cooley เสนอว่าอะไร Mead เสนอว่าอะไร แต่มช. จะให้เห็นภาพการเกิดปฏิสัมพันธ์ทางความคิดระหว่างนักคิดดังตัวอย่าง Simmel

“เขาเห็นว่าการรวมกลุ่มมักจะทำให้คนเสีย ทว่าแต่ละคนก็มีความสามารถแตกต่างกันในการเก็บกดความเป็นตัวของตัวเอง นี่คือเหตุผลว่าทำไมผู้มีบุคลิกภาพสูงส่งหลายคนเลือกจะอยู่ห่างสังคม นับว่าเขามองสังคมและปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกและสังคมในแง่ลบ”(น.54)

ต่อด้วย Cooley ซึ่งผู้เขียนอธิบายว่าเป็น “นักคิดในสายปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ มิได้มีทัศนะเชิงลบต่อสังคมเช่นซิมเมล แม้จะให้น้ำหนักแก่ปัจเจกในฐานะ “ผู้กระทำการ” แต่ก็เห็นว่าอัตลักษณ์คือสิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ... สังคมและปัจเจกบุคคลเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้ สังคมเกิดจากการผสานของตัวตนเชิงจิต (mental selves) ของคนหลายๆคนที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเราเองพัฒนาขึ้นมาจากปฏิกิริยาของเราต่อความเห็นของผู้อื่นเกี่ยวกับตัวเรา เขาเรียก “ตัวตน”ที่เกิดจากกระบวนการนี้ว่า “ตัวตนในกระจกเงา” (the looking glass self)”(น.54)

น่าสนใจยิ่งขึ้นด้วยที่บทว่าด้วยการอธิบายตัวตน(อัตลักษณ์)ของมช. เขียนไปถึงมิเชล ฟูโก เรื่องวาทกรรม “ปัจเจกบุคคล” ขอยกตัวอย่างสั้นๆ

“ในอีกด้านหนึ่ง เทคนิคอำนาจนี้ทำงานควบคุมด้วยการทำให้ปัจเจกรู้สึกว่าตนเป็น “องค์ประธาน” ของการกระทำ ฟูโกต์ยกตัวอย่างหนึ่งที่ทรงพลังมากในมรดกทางวัฒนธรรมของยุโรปตะวันตกนั่นก็คือ จารีตของการสารภาพ (confession technique) ... จะเห็นว่าจารีตทางศาสนาได้วางกฏกติกาที่จัดความสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่าและผู้ฟัง ... จารีตการสารภาพบาปสืบทอดมาถึงยุคสมัยใหม่ในหลายลักษณะเช่น ในความสัมพันธ์ระหว่างหมอจิตเวชกับคนไข้ หรือครูกับนักเรียน เสียงของผู้มีความรู้หรืออำนาจทำให้เราสยบยอมและปั้นแต่งจัดวางตัวเราเองภายในกติกาของวาทกรรม” (น.57)

ผมได้ยินว่าบทความของมช.ส่วนนี้เขียนมาหลายปีแล้วก่อนหน้าหนังสือของจุฬาฯซะอีก ผมไม่รู้ว่าใช่หรือไม่อย่างแน่ชัด แต่ถ้าจริง จุฬาฯเราทำอะไรอยู่ จะไม่เรียกว่าดูถูกผู้เรียนก็คงจะไม่ได้ เพราะอาจารย์คนสอนก็เป็นนักวิชาการมานมนานแล้ว

สถาบันครอบครัว

จุฬาฯ: แบ่งประเภทครอบครัวยืดยาว เป็นจำนวนของคู่สมรสแบบคนเดียว หลายคน ผัวมากเมียมาก แบบครอบครัวเดี่ยว และครอบครัวขยาย ไปจนถึงแต่งงานภายในกลุ่มและนอกกลุ่ม สำหรับผม ผมคิดว่าประเด็นนี้เขียนให้สั้นก็ได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่นิสิตที่เข้ามาเรียนเลยจะไม่รู้ว่า ครอบครัวมีหลายประเภท

มช.: ไม่ได้เขียนอธิบายแบ่งประเภทมาก ยกว่ามีครอบครัวเดี่ยว กับครอบครัวขยาย และเสริมว่ามันไม่ได้แบ่งแยกได้เด็ดขาดเพราะมีลักษณะครอบครัวที่ผสมกันก็มี นอกจากนี้ยังเสนอด้วยว่า ทางสังคมวิทยา ครอบครัวถูกมองว่าอย่างไรบ้าง ตามความเข้าใจของนิสิตอย่างเราๆ แน่นอนว่า ความคิดเชิงหน้าที่นิยม เอาไว้เป็นสถาบันผดุงความปกติทางสังคมและสืบทอดวัฒนธรรม จุฬาฯก็เขียนไว้อย่างนี้เช่นกัน แต่ที่จุฬาฯไม่ได้เขียน และมช.มีก็คือ ครอบครัวถูกมองได้ด้วยว่าเป็น แนวคิดเชิงความขัดแย้ง (conflict theory) มองว่า

“ครอบครัวไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นการจัดการทางสังคมที่ให้คนกลุ่มหนึ่งได้รับผลประโยชน์มากกว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งในลักษณะของชนชั้น โดยพุ่งเป้าไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยา โดยเปรียบสามีเป็นชนชั้นกระฎุมพี ผู้มีอำนาจเป็นคนกำหนดสิ่งต่างๆในครอบครัว ขณะที่ภรรยาเปรียบเป็นชนชั้นกรรมาชีพ กลายเป็นผู้รับใช้และรับคำสั่ง”(น.65)

ไม่ว่าจะชอบแนวคิดนี้หรือไม่ มันเกิดข้อถกเถียงแล้วว่าครอบครัวไม่ได้มองได้แบบเดียว สังคมวิทยามีอะไรที่น่าสนใจขึ้น ไม่ใช่เท่านี้ ผู้เขียนยังเสนอมุมมองสตรีนิยม (Feminism) ต่อครอบครัวด้วย แนวคิดนี้มอง “ครอบครัวเป็นพื้นที่สะท้อนความไม่เท่าเทียมกันระหว่างเพศหญิงและเพศชาย ...ผู้หญิงต้องทำงานเพิ่มมากขึ้นทั้งงานนอกบ้าน ขณะที่ในบ้านก็ยังคงถูกคาดหวังให้เป็นหน้าที่ของผู้หญิงเช่นเดิม”(น.66)

จะจริงไม่จริง อย่างน้อยหนังสือช่วยให้นิสิตตั้งคำถามกับตัวเองและบทเรียน

พฤติกรรมเบี่ยงเบน

ในส่วนพฤติกรรมเบี่ยงเบน จุฬาฯจัดให้ คนรักร่วมเพศเป็นพวก “เบี่ยงเบนทางพฤติกรรม” ขณะที่มช. ไม่ได้มีบทว่าด้วยเรื่องนี้ แต่เห็นท่าทีได้จากการเขียนที่บอกนัยถึงการยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติทางสังคม ในหน้าที่71 ว่าด้วยรูปแบบต่างๆของชีวิตครอบครัวในยุคปัจจุบัน นอกจากจะเสนอข้อมูลการหย่าร้างและการแต่งงานใหม่ ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวที่เติบโตขึ้น ยังระบุถึงครอบครัวคู่รักเพศเดียวกันด้วย โดยเขียนว่า

“จำนวนของคู่รักเพศเดียวกันมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น ... ปัจจุบันประเทศไทยและอีกปลายประเทศยังไม่มีกฎหมายรองรับการจดทะเบียนของคู่รักเพศเดียวกัน ดังนั้น ลักษณะการอยู่ร่วมกันของครอบครัวคู่รักดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อผูกมัดตามกฎหมาย แต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันและความเสมอภาคทางเพศของคนทั้งสอง”

มุมมองนี้น่าจะบอกถึงการเปิดกว้างแบบสังคมวิทยาในยุคใหม่มากกว่าจุฬาฯ

จุฬาฯ อ่านผิด

ตามที่ผมเขียนชี้จุดผิดของหนังสือจุฬาฯในบทความวิจารณ์หนังสือเล่มนั้น ดูจะไม่ครบถ้วนทั้งหมดเสียแล้ว เพราะการที่ผมอ่านหนังสือมช. ทำให้ผมเห็นการอ่่านผิดของผู้เขียนหนังสือจุฬาฯ เปิดไปที่หน้า 225 บทการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของจุฬาฯ

ทฤษฎีการพึ่งพา (Dependency Theory) ทฤษฎีนี้สืบเนื่องมาจากทฤษฎีความทันสมัย เมื่อสังคมที่กำลังพัฒนาได้เปลี่ยนแปลงไปสู่สภาพที่ทันสมัยแล้ว ก็จะพบว่าบางสังคมมีฐานะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง บางสังคมมีฐานะเป็นผู้ตามในการเปลี่ยนแปลง ทฤษฎีนี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งอยู่ในฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลงนี้จะอยู่ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงหรือเป็นประเทศแม่ และมีประเทศอื่นหรือสังคมอื่นเป็นบริวารหรือผู้ตามนั่นเอง ทฤษฎีนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าสังคมที่พัฒนาแล้วไม่ได้มีบทบาทชักนำให้สังคมกำลังพัฒนามาเปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัยหรือกลายเป็นประเทศพัฒนาแต่อย่างใด แต่กลับตรงกันข้ามคือทำให้เกิดความด้อยพัฒนามากขึ้นอีก (น.226-227)

จากการอ่านมช. ทำให้เกิดความสงสัยว่า ทฤษฎีนี้ถูกจุฬาฯอ่านผิดหรือเปล่า? มช.เขียนว่า

“ทฤษฎีการพึ่งพา (dependency theory 1950-1970) เป็นแนวคิดที่มุ่งวิพากษ์วิจารณ์ว่าความไม่เท่าเทียมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในโลกนั้น มีสาเหตุมาจากกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าประเทศพัฒนาแล้วหรือกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมเอารัดเอาเปรียบและดึงทรัพยากรจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาไป” (น.95)

สรุปใครอ่านผิด ผมยังไม่ฟันธง แต่ตีความคนละแบบเลย ทฤษฎีนี้ถูกเอามาใช้วิพากษ์หรือเป็นเครื่องมืออธิบายจึงถูกวิพากษ์? บังเอิญผมมีหนังสืออยู่ใกล้ตัวชื่อ The Penguin Dictionary of Sociology ผมจึงขอยกคำอธิบายจากพจนานุกรมมา ให้คำอธิบายว่า

Dependency. The theory of dependency can be understood as a critical response to the laissez-faire model of international trade and economic development… (Abercrombie, Hill and Turner, 1988)

ดังนั้นสรุปได้ว่า จุฬาฯอ่านผิด

ในเล่มของจุฬาฯ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสังคมเสนอทฤษฎีมาถึงเท่านี้ แต่ของมช. ระบุว่าทฤษฎีนี้อยู่ในยุค 1950 – 1970 เขามีทฤษฎีการพัฒนาเสนอต่ออีกเช่น แนวคิดการพัฒนาทางเลือก (alternative development) แนวคิดการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม (participatory development) แนวคิดการพัฒนาทุนสังคม (social capital) แนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน (sustainable development) มาจนถึงแนวคิดหลังการพัฒนา (post development concept) และไปไกลกว่านี้อีกคือจบด้วยแนวคิด “วิพากษ์แนวคิดหลังการพัฒนา” (After post-development) ผมขอยกที่ผู้เขียน เขียนถึงแนวคิดนี้มาให้อ่านประกอบ

“จะเห็นได้ว่าแนวคิดการพัฒนากระแสหลักและแนวคิดการพัฒนา ต่างมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน โดยแนวคิดการพัฒนากระแสหลักที่เน้นความทันสมัยนั้น มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการมุ่งเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยไม่คำนึงถึงว่าอาจจะนำไปสู่ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรือวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น แต่ก็ยากที่ปฏิเสธคุณูปการหลายด้านที่เกิดขึ้นจากการยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในหลายพื้นที่ของประเทศกำลังพัฒนา ขณะที่แนวคิดหลังการพัฒนามักจะถูกตำหนิว่าเต็มไปด้วยสำนวนโวหารและไม่มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม แต่คุณูปการของแนวคิดหลังการพัฒนาก็ได้ช่วยทำให้สังคมได้ตระหนักถึงคุณค่าของความเป็นท้องถิ่นและความเท่าเทียมกันขององค์ความรู้และสิทธิของคนท้องถิ่นในการตัดสินใจต่ออนาคตของตนเอง ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาคู่ตรงข้ามอย่างสุดโต่ง จึงมีนักวิชาการที่เสนอว่ากระบวนการพัฒนาควรต้องนำเอาความรู้ท้องถิ่นและความรู้สมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ผสมผสานกัน”(น.99-100)

ส่วนจุฬาฯ ยังหยุดอยู่ที่ทฤษฎีพึ่งพา

ส่วนสุดท้ายซึ่งไม่อาจจะมองข้าม

เนื่องจากหนังสือทั้งสองเล่มเป็นหนังสือแนะนำนิสิตนักศึกษาเพื่อมีความเข้าใจพื้นฐานทางสังคมวิทยาอย่างย่นย่อ ส่วน bibliography หรือเชิงอรรถที่ผู้เขียนให้ไว้จะเป็นเสมือนประตูไขสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้น ส่วนนี้ก็จะเป็นเครื่องยืนยันได้เช่นกันว่า ผู้เขียนมีความทะเยอทะยานอยากให้ผู้เรียนใฝ่รู้มากขนาดไหน

จุฬาฯ: ส่วนบรรณานุกรมแทบทั้งหมดจะอ้างหนังสือแนวตำราเรียนสังคมวิทยาเดิมและหนังสือภาษาไทย และภาษาอังกฤษที่เก่าอย่างมากไป 10 - 40 ปี ไม่มีผลงานตำราคลาสสิคในส่วนนี้ มีแต่ผลงานชั้นรองลงไป

มช.ฯ: ขอยกเชิงอรรถหน้า 12 ที่ผู้เขียนเขียนถึง Emile Durkheim ว่าด้วยการฆ่าตัวตาย เชิงอรรถด้านล่างเขียนว่า

รายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับชีวิตและงานของเอมิล เดอร์ไคม์ อ่านเพิ่มเติมได้จาก ลิวอิส เอ.โคเซอร์, แนวความคิดทฤษฎีทางสังคมวิทยา ตอน เอมิล เดอร์ไคม์, แปลโดย นฤจร อิทธีจีระจรัส, กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2535. และงานศึกษาที่พยายามนำแนวคิดการฆ่าตัวตายของเดอร์ไคม์มาศึกษาปรากฏการณ์นี้ในสังคมไทยใน ภีมศักดิ์ บุญเจียร, การพยายามฆ่าตัวตาย, วิทยานิพนธ์สังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต, คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ปีการศึกษา 2540.

หรือบทว่าด้วยเศรษฐกิจและแรงงาน หน้า80 เมื่อพูดถึงแนวคิดการจัดองค์กรแบบสมัยใหม่ของเวเบอร์ ผู้เขียนให้อ้างอิงว่า "Max Weber, "Bureacracy." in Economy and Society (University of California Press, 2013)

หนังสือของจุฬาฯ กับมช. มีจุดให้เปรียบอีกหลายด้าน ซึ่งผมคิดว่าบทความนี้เปรียบเทียบพอเป็นน้ำจิ้ม ถามว่าเสียเวลาไหมที่มาเขียน ก็ถือว่าเสียเวลา เพราะไม่ได้อะไรนอกจากความขมขื่นว่าจุฬาฯ หนังสือเรียนสถาบันของผม ทำไมดูถูกนักเรียนจังมีแต่การตัดแปะ และข้อมูลก็ล้าสมัยมาก อาจมีคนแย้งผมว่า จุฬาฯพิมพ์ปี 2555 ส่วนมช. เพิ่งพิมพ์ปี59 แต่อย่าเพิ่งแย้งผมครับ Robert Putnam เขียนเรื่อง Social Capital ตั้งนานแล้วก่อนผมเกิดซะอีก ปี1993 หน่ะ ผมเกิดปี1996 หนังสือเรียนของจุฬาฯ อาจจะสรุปได้ว่า ล้าสมัยตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรกแล้ว และจากคำนำหนังสือ “โดยผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ตำราเล่มนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการศึกษาทางด้านสังคมวิทยาและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี” ผมคิดว่า มันไม่ค่อยจะประยุกต์ได้เท่าไหร่ เพราะที่ผู้เขียนจุฬาฯทำคือ ยกนิยามต่างๆมา และอธิบายในเรื่องที่รู้อยู่แล้ว จะอ้างว่าเป็นหนังสืออ้างอิงก็ฟังไม่ขึ้นเพราะผิดหลายจุด ขณะที่ของมช. เล่มหนาน้อยกว่าแต่มีประเด็นอัดแน่นให้เราคิด นิสิตหญิงอาจจะต้องถามตัวเองหลังจากอ่านว่า สรุปเราอยู่ในสังคมชายเป็นใหญ่ใช่ไหม หรืออาจจะถึงอำนาจนิยมที่แทรกซึมผ่านการสถาปนาผู้ทรงภูมิความรู้ก็ได้ เราควรมีท่าทียังไงในการมองโลก? คืออ่านสังคมวิทยาแล้วรู้สึกโลกนี้มันน่าสงสัย มันเต็มไปด้วยความขัดแย้งซับซ้อนมีปฏิสัมพันธ์ไม่หยุดนิ่ง มช.ยังกล่าวถึงเรื่องผู้สูงอายุ สวัสดิการ เมืองสมัยใหม่ และขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม การป่วนทางวัฒนธรรม ฯลฯ ส่วนจุฬาฯ ก็พูดถึงขบวนการแต่ยกนิยามซ้ำซ้อน คนนั้นพูดอย่างนี้จัดประเภท4 แบบ คนนี้ต่างกันที่แบบนี้ คนนี้จัด5แบบ อะไรแบบนี้เป็นต้นซึ่งไม่ให้อะไรนอกจากกำลังใจที่จะ "หมดความสนใจ" ในวิชาสังคมวิทยา

ที่เขียนมานี้สุดท้ายก็เป็นมุมมองหนึ่งเท่านั้นเองของผมเพียงคนเดียว หนังสือมช. ถือว่าดีวิเศษไหม? ผมคิดว่า ความรู้มันเปลี่ยนไปตลอด และวิธีการใหม่ๆ หรือคำอธิบายที่เรียบง่าย เข้าใจง่าย ทรงพลัง หรือวิธีการเพื่อก็ยังคงหาได้ ยังปรับปรุงเพิ่มเติมได้อีก แต่ฐานเขาทำมาดีแล้ว ต่อยอดต่อไปหรือเพิ่มภาพประกอบ หรือข้อความให้คิดน่าจะขายดีไม่น้อย ส่วนจุฬาฯ ซึ่งเป็นสถาบันศึกษาที่ผมเรียนด้วย และอ้างความเป็นอันดับหนึ่งตลอดเวลา คณะรัฐศาสตร์ที่ผมอยู่ ผมก็ว่าไม่ได้ล้าหลังโบราณอะไรขนาดนั้น ทว่าหนังสือเรียนน่าจะต้องแก้ไขอีกเยอะ ต้องแก้นะ! ผมคาดหวัง แต่นั่นแหละสุดท้ายมันก็อยู่ที่ฐานคิดว่าเราเขียนเพื่ออะไร เขียนเพื่อจุดประกาย สร้างความหวัง หรือเขียนไปที ตำราเรียนแบบไหนก็มักจะได้เด็กแบบนั้น เด็กแบบไหนสังคมแบบนั้น ถ้าเห็นด้วยกับผมละก็ ไม่ว่าจะเป็นนิสิตอ่านหรือครูหรืออาจารย์ มาช่วยกันชำแหระตำราเรียน และช่วยกันสร้างตำราเรียนที่มีคุณภาพเพื่อการศึกษา เด็กและอนาคตของสังคมพวกเราด้วยกันครับ!

เอกสารอ้างอิง

1. Abercromie, Nicholas, Stephen Hill and Bryan S.Turner. 1988. The Penguin Dictionary of Sociology. London:Penguin

Comentarios


bottom of page