ข้อเสนอเพื่อพิจารณาเป็นแนวทางการขับเคลื่อนการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย (ประเด็
- เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล
- Nov 3, 2016
- 2 min read

I
การที่คณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนว่าด้วยแผนการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง ได้จัดประชุมโดยเชิญนิสิตนักศึกษาจากหลายสถาบันมาให้ข้อคิดเห็นเพื่อนำไปพิจารณา ถือว่าเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างยิ่ง ที่เห็นแล้วสะดุดตาอย่างมากคือมีคำว่า “ในระบอบประชาธิปไตย” ต่อท้ายด้วย คณะอนุกรรมาธิการฯ มีจุดประสงค์ชัดเจนคือ ไม่ได้ต้องการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบ/เพื่อระบอบเผด็จการทหาร แต่กำลังพูดถึงเพื่อ/ในระบอบประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังไม่เข้าใจชัดดีว่า ทางคณะอนุกรรมาธิการปรารถนาจะส่งเสริมวัฒนธรรมทางการเมืองแบบไหน? เมื่อพูดถึงเรื่องในระบอบประชาธิปไตย และให้การศึกษาด้วย ผมตีความว่า ต้องการที่จะส่งเสริมวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ผมเข้าใจอย่างนี้ ดังนั้นผมจะพูดถึงการส่งเสริมประชาธิปไตย
ก่อนอื่น ประชาธิปไตยในความหมายของท่านกับผมจะตรงกันหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจ พูดอย่างซื่อสัตย์ มีคำนิยามประชาธิปไตยเป็น 100 คำนิยาม เราจะไม่ตรงกันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่อย่างน้อยที่สุดการเชิญมาพูดในวันนี้ ผมเข้าใจว่าท่านกำลังสื่อสารว่าประชาธิปไตยไม่ใช่การคิดอยู่คนเดียว แต่คือคนอื่นๆก็สามารถที่จะคิดได้ พูดได้ และมีส่วนร่วม ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะยึดหลักการบางอย่างไปพร้อมกันด้วยไหมนั่นคือประชาธิปไตยมีฐานอยู่ที่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ฐานอยู่ที่การเคารพศักดิ์ศรีของคนอื่นไม่ตัดสินเขาไปก่อน เขามีสิทธิกำหนดชะตากรรมของประเทศ ฐานอยู่ที่ความรับผิดชอบ คือพูดอย่างมีสาระมีการเตรียมพร้อม และ ฐานอยู่ที่การเคารพและรับฟังซึ่งกันและกัน ไม่ว่าเขาจะชาติวุฒิ วัยวุฒิ หรือคุณวุฒิมากน้อยแค่ไหน ถ้าคณะอนุกรรมาธิการไม่มีฐานแบบนี้ พวกเราก็คงไม่ได้มีโอกาสเข้ามา เพิ่มเติมด้วยว่า แล้วเรามาคุยกันทำไมในเรื่องประชาธิปไตย ส่งเสริมเฉพาะเศรษฐกิจก็พอไหม ผมเข้าใจว่าเราก็คงมองคล้ายกันว่า ระบอบประชาธิปไตยและการเมืองแบบประชาธิปไตยจากรากฐานนี้จะสร้างความสุขและสวัสดิภาพของพลเมืองได้มากกว่าระบอบอื่นๆ การที่ให้คนมีส่วนร่วม ออกความคิดเห็น มีพื้นที่ในการใช้ความคิดของเขาจะนำมาซึ่งความมั่งคั่งในระยะยาวในทางความสุขและสมบัติมากกว่าระบอบอื่นๆ มัน Common Sense มากๆ
II
การให้การศึกษาส่งเสริมการสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่เห็นคุณค่าเบื้องต้นที่ว่ามานี้ สำหรับตัวกระผม ซึ่งเป็นนิสิตปีหนึ่ง เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลายมาได้ไม่กี่เดือน ขอกล่าวว่าเท่าที่ประสบและสังเกตมา นับเวลาหลายสิบปีที่เรียน ยังไม่เห็นวัฒนธรรมทางการเมืองที่เห็นคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การแลกเปลี่ยนอย่างเสรี และการเคารพซึ่งกันและกันโดยไม่ใช่มาจากฐานคติอำนาจนิยมน้อยครั้งมากๆ ทั้งนี้ผมเจอมากับตัว เห็นคนอื่นๆโดน การที่ครูเรียกลูกศิษย์ว่า “ไอ้เวร” แล้วลูกศิษย์ก็ดีใจกับคำเรียกอย่างนี้ แสดงว่าการส่งเสริมคุณค่าประชาธิปไตยที่ไม่ใช่แผ่นกระดาษยังเป็นของแปลกปลอมไม่ใช่เรื่องปกติในโรงเรียน แล้วถ้าโรงเรียนเอาไว้ผลิตคนสู่สังคม ก็ไม่แปลกที่คนคุณภาพในเวลานี้ไม่เห็นคุณค่าหรือวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยเลย
ขอกล่าวให้แน่ใจว่า เรามาพูดนี่ไม่ใช่การบอกว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมเวลานี้เขาเชื่อว่าดีใช่ไหม เราเห็นว่าคุณค่าประชาธิปไตยยังไม่ได้รับการแพร่กระจายและลงรากที่แข็งแรงใช่ไหม ถ้าใช่ เราก็เห็นวิกฤติร่วมกัน แล้วจุดเน้นสำคัญตอนนี้ของผมก็คือ “ระบบการศึกษา”
จะพูดถึงมหาวิทยาลัยด้วยก็ได้ แต่เอาให้จริง รากฐานทางการเรียนรู้ที่สำคัญมันอยู่ตั้งแต่ประถมศึกษา George Lakoff นักประชานศาสตร์ชาวอเมริกัน ชี้ให้เห็นว่า ครอบครัวหรือสภาพแวดล้อมตอนเด็กมีปัจจัยสำคัญมากในการสร้างบุคลิกภาพและวิธีคิดของเด็กคนนั้นในตอนโตว่าจะเป็นคนแบบไหน ถ้าประถมศึกษา ครูใช้อำนาจตีเด็กไร้เหตุผล ใช้อารมณ์ตนเป็นที่ตั้ง เด็กถามเด็กเถียงไม่อนุญาต ก็ไม่ยากว่าเด็กจะเติบโตเป็นคนแบบไหน แล้วมันมีผลมากจริงๆ ไม่อ้างฝรั่งก็ได้ ถ้าอยากเป็นไทยจ๋า ก็ลองสมมติดูก็ได้ เคยถูกครูลงโทษแบบนั้น แล้วเด็กที่ไหนจะควรถูกคาดหวังให้พูดกับครูคนต่อไปของเขาด้วยความกล้าหาญ แล้วมันเป็นมาถึงมหาวิทยาลัยด้วย รวมถึงจบไปแล้วด้วย คือไม่กล้าพูด ไม่กล้าที่จะถาม อย่าถามนะว่า ผู้ดีทั้งหลายทำไมส่วนใหญ่ส่งลูกไปเรียนเมืองนอกหรือนานาชาติ เพราะเขารู้ว่าลูกเขาจะเจอปัญหานี้ แต่คนส่วนใหญ่ต้องเรียนแบบนี้ มันไม่ได้น้อยๆนะปัญหาการใช้ความรุนแรง ละเมิดศักดิ์ศรีกัน หรือการโกงเงินโดยไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ มันมีถ้าคณะอนุกรรมาธิการอยากได้ อยากทราบเรื่องจะหามาให้
จบจากมัธยมฯที่ตั้งคำถามไม่ได้ จนกลายเป็นตัวเองไม่กล้าตั้งคำถามหรือคิดนอกกรอบและพาลไปเห็นว่าคุณค่าพวกนี้แปลกปลอม การเข้ามหาวิทยาลัยจึงเสมือนเข้าไปในคอกที่คิดเหมือนกันได้เท่านั้นเช่นกัน แม้ในมหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่และดีที่สุดในประเทศไทย การล่าคนที่คิดต่างก็ยังมีอยู่ อย่างเรื่องการรับน้อง การเข้าห้องเชียร์ ต้องขู่เข็ญบังคับ ใครไม่เข้าก็จะตัดรุ่น โดยมีอาจารย์อยู่เบื้องหลังเพื่อง่ายในการควบคุมเด็ก ยังมี หรือการให้รุ่นพี่ว้ากใส่ วิ่งหลายๆรอบ มันก็มี ปัญหามันมีสองทาง ทำไมเขาถึงทำ และทำไมรุ่นน้องถึงยอม ถ้าเราเห็นคุณค่าของหลักการประชาธิปไตยที่ตกลงกันก่อนแล้ว ทำไมจะงดการทำอะไรตามประเพณีโดยไม่คิด แล้วหันมาสร้างประเพณีใหม่ที่ให้ทุกคนได้อยู่อย่างเสมอหน้ากันไม่ได้ล่ะ
เมื่อคุณค่าสองชุดมาพบกัน มันไม่จำเป็นต้องแตกหัก ไม่ใช่ว่าต้องยกเลิกประเพณีไปเลย แต่ประเพณีกับคุณค่าประชาธิปไตยจะผสมรวมเข้าด้วยกันไม่ได้เลยหรือ
ที่นำเสนอมานี่เป็นแต่เพียงปัญหาคร่าวๆ แล้วที่หนักใจมากก็คือ คนไม่เห็นด้วยกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาพูดไม่ได้ การที่ปล่อยปะละเลยมันไม่ใช่ในมาซึ่งความเงียบอันสงบเรียบร้อย แต่มันจะสร้างความโกรธแค้น อย่าคิดว่ากระบวนการทำให้เป็นคนในสังคมแบบเก่าๆจะใช้ได้อีกแล้ว ตอนนี้ปฏิสัมพันธ์ในโลกอินเทอร์เน็ต และการสื่อสารกันระหว่างคนข้ามประเทศ ข้ามพรมแดน กำลังมีอิทธิพลเข้ามา สภาพแวดล้อมไม่ใช่จะทำให้คนเชื่องเสมอไป ถ้าเขาทำอะไรไม่ได้ เขาก็จะหนี เขาก็จะสิ้นหวัง เขาก็จะไม่ลงทุนลูกหลานเขาในประเทศนี้เหมือนคนที่มีทุนทรัพย์เพียงพอก็ให้ลูกไปต่างประเทศ แล้วประเทศนี้จะเหลืออะไร ถ้ามีพื้นที่แบบประเพณีอย่างเดียว
คำตอบต่อปัญหาเหล่านี้จะเดินไปในทางไหน ยังคงต้องอภิปรายกันในรายละเอียด ผมขอเสนอให้คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาอย่างกว้างๆ
1) การส่งเสริมประชาธิปไตย อะไรคือคุณค่าหลักกันแน่ที่เราจะเชิดชู แล้วคุณค่านั้นคนรุ่นใหม่ยอมรับด้วยไหม มันมีนักคิดน่าสนใจคนหนึ่งเขาบอกว่าให้เราลองจินตนาการว่าเราเป็นคนที่เสียเปรียบที่สุดในสังคมดู คุณค่าอะไรที่เราคิดว่ามันควรจะมี
2) ประชาธิปไตยคือคุณค่า ประชาธิปไตยเสมือนเมล็ด ไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูปใช่ไหม ไม่ใช่ว่าต้อง import จากประเทศใดประเทศหนึ่ง ดังนั้น ให้เนื้อนาดินที่นี่ได้มีหน้าที่ในการช่วยกันปรับปรุงและส่งเสริมมัน ให้คนรุ่นใหม่ หรือใครๆ ได้มีสิทธิที่จะลองผิดลองถูก บนกติกา ขณะนี้ผู้ใหญ่ไทยซึ่งจบมาจากตะวันตกแล้วต่อต้านประชาธิปไตยว่าเป็นของตะวันตก พวกเขากำลังหลงทางกับความทะนง คือลดทอนคุณค่าของประชาธิปไตย ให้เป็นของอเมริกาหรือยุโรปแล้วนำมาโจมตี ทั้งที่จริงๆแล้ว ประชาธิปไตยซึ่งที่ว่าคือคุณค่าที่กล่าวในเบื้องต้นแล้วนั้น เป็นสิ่งที่คนพลเมืองต้องมี “ส่วนร่วม” เมื่อร่วมสร้างร่วมเปลี่ยนบนกติกาได้แล้วจะเป็นประชาธิปไตยแบบแช่แข็งตายตัวได้อย่างไร นอกจากนี้โปรดอย่ากุมชะตากรรมเขาด้วยความหวังดีจนเลยเถิด ให้คนที่เขาจะมีอนาคตของเขาได้คิดถึงอนาคตของเขาเองบ้าง
3) ถ้าประเพณีไม่ไปกับประชาธิปไตย ประเพณีจะตาย เรื่องนี้จะเกิดขึ้นในโรงเรียน และอันที่จริงก็เกิดขึ้นแล้ว เด็กเวลานี้ไปติวเตอร์มากกว่ามาโรงเรียนเสียอีก แล้วโรงเรียนต่อไปจะสอนอะไรเขาได้ ถ้ามาแล้วถูกกดขี่บีบให้อยู่ในสภาพต่ำๆ ประเพณีคือวัฒนธรรมการเคารพครูหรือการมาโรงเรียนก็จะหมดไป อาจจะมีแต่ก็เสมือนไส้ติ่งอักเสบ ดังนั้นอนุรักษ์นิยมที่ฉลาด และคนที่หวังให้บ้านเมืองก้าวหน้าต้องรู้จักปฏิรูป ดังที่สมเด็จพระปิยมหาราช ในยุคสมัยนั้น ก็ทรงเห็น
อนึ่ง มีคนบอกว่า ถ้ามีประชาธิปไตยแล้ว ประชาธิปไตยจะทำลายคุณค่าเก่าๆบางอย่างด้วยการมาวิพากษ์วิจารณ์ให้มันเสีย ผมอยากจะเล่าบทสนทนาที่ผมคุยกับ ศ.ดร.เจตนา นาควัชระ ให้ฟัง ผมถามว่า อะไรคือรากของเรา ท่านบอกว่า “มันไม่ได้มีแค่รากอันเดียวซะที่ไหน มันมีหลายๆรากถ้ามีอันเดียวประเทศนี้ก็ล่ม” ถ้าเป็นดั่งที่ อ.เจตนา ว่าแล้ว ระบบโครงสร้างสังคมที่มีแต่โบราณของเราก็ไม่พังง่ายๆ เราผ่านมากี่ยุคสมัย เราก็ปรับตัวและโอบรับสิ่งต่างๆมาเป็นรากให้เราได้ ประชาธิปไตยคือสิ่งที่เราควรจะโอบรับ (1)
4) ไปให้ถึงการเลิกอ้างว่า เป็นคนดีแล้วทำลายระบบกติกา หรือทำลายสัญญาประชาคมที่ทำร่วมกัน เปิดพื้นที่ให้คนคิด สร้างองค์กรสิทธิมนุษยชนที่เข้มแข็ง ติดดิน ต้นไม้ใหญ่คือประเทศนี้ก็จะมีชีวิตชีวาไปในทางของมัน – อนึ่งกรรมาธิการรณรงค์เรื่องนี้ แท้จริงแล้วควรจะมีนิสิตนักศึกษาเข้ามาทำงานด้วย อย่างไรก็ตามไม่ได้เป็นการการันตีว่า จะรับฟังเสียงได้ทุกกลุ่ม ดังนั้น ไปหาเขา ไปฟัง ไปคุย และโลกยุคนี้แล้ว ไลฟ์สดถามคำถามสดๆเลยทำไมจะทำไม่ได้
III
ผมอยากจะขอเน้นย้ำอีกทีในที่นี้ก็คือ อีก 30 ปีข้างหน้า คนที่ทรงอำนาจในเวลานี้ นักการเมืองเก่าแก่ทั้งหลายจะหมดบทบาทลงไป พลเอกประยุทธ์ก็อายุเก้าสิบกว่า คนที่อายุเข้าเจ็ดสิบปีเช่น คุณมีชัย ก็คงจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนรุ่นใหม่/คนรุ่นที่เป็นนิสิตนักศึกษาในเวลานี้จะต้องเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างแน่นอน นอกจากปัจจัยเงื่อนไขทางเวลา ปัจจัยทางสภาพแวดล้อมก็ทำให้โลกมุ่งสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด จะมาเป็นครู และการปฏิสัมพันธ์แบบสองทางที่ไม่ใช่การจด Lecture แต่เป็นความคิดสร้างสรรค์จะเข้ามาแทนที่ นอกจากนี้ระบอบคนดี/ผู้ดี ผู้มีบารมีจะเอามาอ้างไม่ได้อีก จะถูกตรวจสอบ จะถูกทั้งทางโลกโซเชียล โลกความคิดทางปรัชญา(ที่ว่ามีคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม) ตรวจสอบ ตอนนี้เหล่าผู้มีบารมีและอวดอ้างเป็นคนดีทั้งหลายก็กำลังถูกสับกันอยู่ในโลกออนไลน์ ไม่ต้องห่วงเลยว่า นี่จะเป็นบทเรียนให้กับหิริโอตัปปะของคนรุ่นใหม่ในการไม่อ้างว่าตนเป็นคนดีอยู่ต่อไปได้ ทำไม จัสติน ทรูเดอร์ นายกรัฐมนตรีแคนาดาถึงได้รับความนิยมโด่งดังทั่วโลก เขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ประสบความสำเร็จจริงหรือสร้างภาพหรือไม่ ยังไม่ใช่ประเด็นที่พิจารณาตรงนี้ แต่อย่างน้อยที่สุดมันบอกอะไรเรา มันบอกว่าคนรุ่นใหม่อยากเห็นนายกฯ นักการเมือง ทหารรุ่นใหม่ ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ที่ตีนติดดิน เข้าหาไม่ยากไม่ใช่วางท่าเหมือนเป็นงูจงอางจะฉกคนเล็กคนน้อยที่เข้าหา ไม่ต้องพิธีรีตองมาก เข้าใจว่าทางคณะอนุกรรมาธิการก็คงจินตนาการไม่ต่างกัน ประเทศไทยสุดท้ายแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ได้ จะแตกแยกทางความคิดขนาดไหน ประชาธิปไตยย่อมจะมา เป็นคำตอบเดียวด้วย แต่ประชาธิปไตยนั่นแหละ มันไม่ใช่แค่ลงคะแนนเท่านั้น คุณค่าของมันจะเกิดไหมอีก 30 ปีข้างหน้า มันอยู่ที่วันนี้ เราสนใจมันจริงจังแค่ไหน เพื่อลูกหลานและคนในอนาคตนอกจากตนเองแค่ไหน
(1) ผมกังวลใจเหลือเกินในที่ประชุมที่มีรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวค่อนแคะว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่อาจจะคุกคามประเพณี อัตลักษณ์ที่ดีงาม โชคดีที่กษิต ภิรมย์ ประธานในที่ประชุมพูดเลยว่า "ตราบเท่าที่เขายังเป็นประธานฯ เขาเห็นว่าประชาธิปไตยเป็นสากล ไม่เอาประชาธิปไตยแบบไทยๆ" และผมได้เสนอเพิ่มเข้าไปจากหนังสือรายงานของคณะอนุกรรมาธิการฯ ในหน้า 7 เรื่อง ปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติ และความเชื่อถือที่ผิดที่เป็นอุปสรรคต่อวัฒนธรรมการเมืองประชาธิปไตย ผมคิดว่าควรจะเพิ่ม "การมีทัศนคติว่าประชาธิปไตยเป็นของตายตัว ของหยุดนิ่ง" เข้าไปด้วยว่า ถ้าไม่แก้สิ่งนี้ นี่คืออุปสรรคต่อประชาธิปไตยอันหนึ่งเช่นกัน
ได้รับเชิญไปในฐานะผู้ติดตามประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เรียบเรียงและนำเสนอ ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ หมายเลข 220 ชั้น2
อาคารรัฐสภา 2 วันที่ 3 พฤศจิกายน 2559
댓글