top of page

Recent Posts

Archive

Tags

Review : หนังสือนักเรียนเลวในระบบการศึกษาแสนดี โดย Sumena

  • Sumena
  • Nov 9, 2016
  • 1 min read

สังคมไทยในปัจจุบันเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยระบบอำนาจนิยม การกดขี่ทำให้เกิด ผู้กด-ผู้ถูกกด เป็นต้น ซึ่งระบบดังกล่าวเป็นพื้นฐานที่เติบโตจากสมัยโบราณ จนถึงปัจจุบัน ที่น่าคิดคือยุคนี้เป็นยุคโลกาภิวัฒน์ สากลโลกปัจจุบันที่หลุดพ้นจากยุคมืดหรือยุคความศรัทธามาหลายขวบปี ก้าวข้ามระบบที่กักขังปัญญาและทำลายปัญญา เมื่อเข้าสู่ยุคใหม่มวลชนต่างเข้าหาระบบที่นำพาสู่ความสว่าง ความเป็นไท ต่อสู้เพื่อการปลดแอกคำนึงถึงสิทธิที่พวกเขาควรจะมี สังคมสากลโลกเหล่านั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมากันมากเพื่อขยับขับเคลื่อนไปข้างหน้า พวกเขามีสิทธิ เสรีภาพ ในการรับรู้ ในการตั้งคำถาม เพื่อสร้างสังคมร่วมกัน สิ่งที่มวลชนเหล่านั้นได้มีโอกาสทำได้สรรค์สร้างสาธารณูประโยชน์มากมายแก่โลกและเพื่อนมนุษย์นัก เขาปฏิวัติศาสนา,วิทยาศาสตร์ เมื่อเขาตาสว่างแล้ว เขาได้ต่อสู้กับชนชั้นเพื่อจะได้มาซึ่งประชาธิปไตย/สังคมนิยม ไม่ยอมสยบต่ออำนาจนิยม ทั้งหมดทั้งมวลบนเส้นประวัติศาสตร์ได้บอกฉันว่า ระดับโลก ระดับประเทศมีความเจริญแท้จริงเพราะ"การต่อสู้' ไม่ใช่การอยู่เฉย กลับมามองที่สังคมไทยยังติดกับดักความอนุรักษ์นิยมที่ล้นเกิน ซึ่งเป็นผลในระบบอำนาจนิยมก็ดี การกดขี่ทางชนชั้น เศรษฐกิจที่ตกต่ำ ประชาชนขาดแรงจูงใจบวกกับสิทธิค่อนข้างต่ำ ที่น่าประหลาดใจประชากรไทยส่วนใหญ่กลับนิ่งเฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดใด ทั้งสิ้น อยู่ไปวันวัน แช่แข็งทุกอย่าง ขาดการมองการไกล อาจจะเป็นเพราะ สัตว์ที่เชื่องมักจะหลงเชื่อว่ากรงมันอุ่น นั่นเอง


ยอมรับว่าดิฉันค่อนข้างจะมองสังคมไทยในแง่ลบ ฉันค่อนข้างกังวลที่สังคมนี้ค่อนข้างเฉยเมยต่อทุกสิ่ง คลั่งความศรัทธาแบบสุดโต่ง ไร้ซึ่งการสงสัยใดๆ ฉันจึงไม่แปลกใจประเทศเราถึงไม่ค่อยมีนักวิทยาศาสตร์ นักสังคมศาสตร์ที่ค่อนโลกเหมือนฝั่งตะวันตกบ้าง หรือเอเชียตะวันออก แต่ฉันก็ดีใจที่ประเทศนี้ยังพอมีหัวก้าวหน้าอยู่บ้าง แต่ชีวิตหัวก้าวหน้าในไทยช่างน่าสงสารยิ่งนัก อดหดหู่ไม่ได้เลย วันนี้ฉันได้รู้จักผู้ชายคนหนึ่งในรายการที่โต้วาทีเรื่องทรงผมในโรงเรียน ฉันประทับใจและทึ่งในเวลาเดียวกัน เขาไม่เพียงแต่นำเสนอความคิดเห็นได้กินใจเท่านั้น ฉันสัมผัสได้ในน้ำเสียงที่มุ่งมั่นของเขา นับแต่นั้นมา ฉันได้ติดตามเขามาจนวันนี้ ฉันทึ่งในความที่เขากล้าหาญ ท้าทายความไร้เหตุผลของจารีต ชุดความคิดที่ย้อนแย้ง การที่เขาจะเป็นปลาคาร์ฟว่ายน้ำทวนกระแสในสยามเมืองคนดีมันไม่ง่ายเลย ฉันอยากจะบอกเขาว่าฉันเป็นคนหนึ่งที่ห่วงใยและให้กำลังใจแม้ไม่เคยเห็นหน้าก็ตาม


วันนี้ฉันได้อ่านหนังสือของเขาหน้าปกเขียนว่า "นักเรียนเลวในระบบการศึกษาแสนดี" เป็นมิติอีกบานที่หาไม่ได้จากเพจหลักของเขา หนังสือเล่มนี้เผยอัตลักษณ์ ความต้องการ และการมองไทยผ่านตาของเขาได้ถ่ายทอดลงบนกระดาษ ทำให้เราเห็นผลงานอันเป็นที่ประจักษ์มากขึ้น ได้เปิดใจรับข้อคิดที่ลึกมากกว่าหนึ่งชั้น ก่อนที่หนังสือจะมาถึงมือ ฉันเคยตั้งแง่เอาไว้ว่าคงจะเป็นเพียงไดอารี่เท่านั้น เมื่ออ่านจนจบเขาก็ได้ทำลายข้อกังขาออกไป ฉันเข้าใจเขามากขึ้น ฉันยินดีกับเขามากขึ้น และก็สงสารเขาเช่นกัน ในฐานะที่เป็นคนๆนึงที่อยู่ในระบบที่กดได้ตลอด คาร์ล มาร์กซ เจ้าลัทธิผู้ยิ่งใหญ่ เคยกล่าวเอาไว้ว่า "การปลดแอกของชนชั้นกรรมาชีพนั้น ต้องกระทำโดยชนชั้นกรรมาชีพเอง" ฉันได้กลับมามองตัวเนติวิทย์บ้าง เขาเป็นนักเรียนมีความซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์เพื่อการศึกษาได้รู้ทันปัญหาที่รื้อรังนัก เขาจำเป็นต้องต่อสู้ไม่ใช่เพื่อตัวเขาหรอกแต่เพื่ออนาคตการศึกษาไทยต่างหาก ปัญหาการศึกษาผู้เรียนได้รับผลกระทบมากที่สุด ดังนั้นผู้เรียนต้องต่อสู้เอง เพราะผู้ใหญ่ชนชั้นปกครองในบ้านเมืองเราไม่เคยตระหนักถูกจุด แต่จะเป็นใครล่ะที่จะเหมาะกับสังคมนักเรียนเชื่องๆเล่า ก็จะมีแต่คนดื้อแพ่ง กล้าใช้เหตุผลและมองการณไกลอย่างไงล่ะ


สังคมไทยชนชั้นปกครองได้วาดฝันเอาไว้ว่าอยากให้ผู้ถูกปกครองว่านอนสอนง่าย ไม่ต้องใช้เหตุผล ให้วางใจต่อตนเอง จนกลายเป็นทาสไปในที่สุด หากใครตาสว่างขึ้นมาก็กลายเป็นพวกดื้อแพ่ง วายร้ายและโดนปราบพยศในที่สุด ผู้ที่ปัญญานำและคนใช้เหตุผลบวกกับคนที่ยอมจำนนต่อการกดขี่ การโดนตัดปีก ปิดตามานาน ต่อสู้เพื่อชนชั้นทีเป็นฝันร้ายของผู้ปกครองและสังคมที่เชื่องไปในที่สุด อะไรเล่าที่ทำให้คนดื้อแพ่งมากขึ้นอะไรที่เป็นกุญแจสำคัญต่อมนุษย์ทุกสิ่ง อะไรล่ะที่จะมาปลดล็อกได้ก็ "การศึกษา" นั้นเอง หนังสือเล่มนี้ได้บรรยายให้เราเห็นว่าเขาไม่ใช่นักเรียนเลวอย่างที่ปกหนังสือบอก หรือเป็นนักเกรียนที่ไหน เขาคือ"นักเรียนดี" มากในแง่การขวนขวายหาความรู้สร้างองค์ความรู้ใหม่เป็นขั้นเป็นตอนอย่างแท้จริงไม่ใช่รายวิชาหนึ่งในไทยกับความคิดกระแสหลักที่เป็นแค่เปลือกให้เด็กไปคัดลอก พิมพ์ใส่กระดาษเข้าเล่มเปลืองเงินเปลืองสุดท้ายไม่ได้แก่นสารอะไรเลย ผู้เรียนในไทยส่วนมากจึงเป็นได้แค่นักก๊อปเพราะสังคมขวาจัด สังคมอนุรักษ์นิยม กลัวการตั้งคำถาม เนติวิทย์เป็นนักเรียนดีในแง่สากลโลกที่เขาเป็น คือคนที่ยอมรับความเห็นต่างได้ คนที่ไม่ทำอะไรซ้ำๆซากๆแบบนักเรียนไทยทั่วไปอย่างแน่นอน ในหนังสือได้เผยอย่างชัดว่าโครงการที่เขาทำ การวางแผนที่เขาตั้งน่าสนใจไม่น้อย และหายากในนักเรียนดีในแบบเผด็จการ,ผู้มีอำนาจ หรือ แม้แต่ครูไทยอนุรักษ์นิยมต้องการ


แม้คนส่วนใหญ่ที่มีผลต่อการครอบงำสังคมจะขวาอย่างไร มันต้องมีซ้ายอยู่บ้างแม้ในไทยจะเกิดซ้ายยากนัก ฉันอ่านบทหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ประทับใจครูคนหนึ่งที่ผู้เขียนเล่าถึง อ่านไปแล้วฉันก็รู้สึกอุ่นใจที่ความเสรีนิยมไม่ได้กลืนหายไปไหน โรงเรียนในไทยและสังคมอาชีพครูไทยโดยมากฉันมองว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะอำนาจนิยม มันไม่ใช่โรงเรียนเพื่อการตาสว่างเลย ครูโดยมากก็มีวิชาชีพที่ค่อนข้างทำให้เอกลักษณ์ความเป็นครูอยู่ในสภาวะกดดันเรื่องการวางตัว การรักษาภาพลักษณ์ กลัวการมัวหมอง จึงเป็นเหตุให้เรามักไม่เจอครูหัวก้าวหน้าซะส่วนใหญ่ การศึกษาไทยจึงข้ามไม่พ้นความไม่หลากหลายทางความรู้และปัญญา ไม่พ้นกรอบกันเสียทีคิดสร้างสรรค์แต่ต้องอยู่ในกรอบ มันจึงเป็นโรงละครที่แสดงความย้อนแย้งไปในที่สุด


บทความของผู้เขียนที่มีต่อการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทยของเนติวิทย์คิดเหมือนฉันเลย ตรงที่เน้นเพียงราชาชาตินิยมแต่ประวัติศาสตร์กษัตริย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกลับไม่ค่อยตีแผ่ในบทเรียน, การสร้างรัฐชาติสมัย ร5นำเสนอแต่ประวัติศาสตร์ที่อยู่แต่ยุค 100ปีที่แล้วฉายซ้ำตั้งแต่ ม 1ยัน ม6แต่ประวัติศาสตร์การสร้างประชาธิปไตยและประวัติศาสตร์ร่วมสมัยมีไม่ถึง 10 หน้า ทำให้ผู้เรียนไม่เข้าใจการกำเนิดประชาธิปไตยไทยและขาดความเข้าใจการใช้สิทธิ เสรีภาพของตนเองและผู้อื่น แถมติดกับดักความเชื่อความศรัทธาโดยไร้การสังเกตและการตั้งคำถาม ฉันจินตนาการถ้าแบบเรียนประวัติศาสตร์กระแสหลักผู้เขียนเป็น อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์, อ.สุจิตต์ วงษ์เทศ และ อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ บ้าง ผู้เรียนไทยคงจะได้สัมผัสแบบเรียนที่ไม่ใช่นิทาน ตำนาน ใดใด ฉันมองว่าวิชาประวัติศาสตร์สำคัญมาก เพราะคนประเทศนี้มักจะเชื่ออะไรง่ายเกินไป และวิชานี้เป็นวิชาที่ผู้มีอำนาจใช้เป็นเครื่องมือครอบงำมวลชนเป็นโฆษณาชวนเชื่อได้ สำหรับปัจจุบันมีแหล่งสืบค้นที่รวดเร็ว แต่ผู้เรียนในประเทศนี้ยังเชื่อกันผิดๆอยู่เพราะเขาเชื่อในภาพลวงตาและกลัวภาพลวงตานั้นพังทลายลง นี่ก็เป็นความเศร้าของคนรุ่นใหม่ที่เชื่อว่ากรงมันอุ่น


หนังสือเล่มนี้เนื้อหาที่น่าสนใจนักไม่ใช่ในแง่การต่อสู้เพื่อการศึกษา ฉันมองว่าเขาเป็นคนมีจิตสาธารณะคนหนึ่งทีเดียว เป็นผู้ให้อย่าซื่อสัตย์ ฉันพึ่งรู้ว่าหลายๆโครงการที่เขาตั้งขึ้นบางอันเขาวางแผนทำด้วยตัวเองทั้งนั้นและมีประโยชน์ต่อผู้เรียนด้วย เช่น เสวนาให้ความรู้ปูชนียบุคคล เป็นต้น ในเมื่อการศึกษากระแสหลักไม่ตอบโจทย์ผู้เรียนมากนะ นักเรียนดื้อแพ่งอย่างเขาจึงเสียสละทำเสียเองเลย ฉันทึ่งเหลือเกินที่ไทยจะมีนักหนังสือเหมือนยุคนักศึกษาในอดีตที่เป็นตัวแปรแห่งการศึกษา การต่อสู้เพื่อการศึกษาของเขาไม่ใช่แค่ความรักที่มีต่อโรงเรียนของตนเท่านั้น แต่เพื่ออนาคตการศึกษาไทยด้วย

Comments


bottom of page