top of page

Recent Posts

Archive

Tags

หนังสือตำราเรียนสังคมวิทยาจะเลือกอ่านเล่มไหนดี? ระหว่างของจุฬาฯกับมช. (1/2)

  • Writer: เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล
    เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล
  • Dec 28, 2016
  • 2 min read

25 ธันวาคม 2559

(ในภาพ อ.ศิริรัตน์ แอดสกุล)

หลังจากที่ผมได้เขียนวิจารณ์หนังสือ “ความรู้เบื้องต้นทางสังคมวิทยา” (ดูที่นี่) เขียนโดย อ.ศิริรัตน์ แอดสกุล อาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯของผมไปแล้ว ก็มีเพื่อนผู้หวังดีท่านหนึ่งไม่รู้จักกันมาก่อนส่งหนังสือ “ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสังคมวิทยา” หนังสือชื่อคล้ายคลึงกัน แต่ต่างที่ภูมิภาค เล่มนี้มาจากภาคเหนือ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีบรรณาธิการคือ อ.วสันต์ ปัญญาแก้ว

หนังสือเล่มแรก พิมพ์ครั้งแรกปี 2555 ปัจจุบันพิมพ์ครั้งที่4 แล้ว ส่วนหนังสือเล่มหลังพิมพ์เดือนสิงหาคม ปี 2559 ห่างกัน 4 ปี หนังสือเล่มแรกถ้าพูดแล้วถือว่าขายดี ประเมินคร่าวๆพิมพ์ใหม่ปีต่อปีเลย ส่วนเล่มหลังยังไม่ทราบอนาคต

26 ธันวาคม 2559

ผมอ่านหนังสือ “ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสังคมวิทยา” ซึ่งต่อไปนี้ผมจะขอเรียกสั้นๆเพื่อความสะดวกว่า “หนังสือมช” และเล่มความรู้เบื้องต้นทางสังคมวิทยาของอ.ศิริรัตน์ ครูของผมว่า “หนังสือจุฬาฯ” เรียกเพื่อความสะดวกถึงจะดูเหมารวมไปหน่อยก็เถอะ (ไม่ได้ต้องการเหมาว่าหนังสือทั้งหมดของคณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ กับทั้งหมดของมช. น่ะครับ แค่เรียกเพื่อความสะดวก -ข้อความเพิ่มเติม)

หนังสือมช. ผมอ่านจบรวดเดียวในวันนี้ หนังสือบางกว่าหนังสือจุฬาฯมาก หนังสือมช.หนา 179 หน้าเอสี่ ส่วนหนังสือจุฬาฯหนา 296 หน้าบวกกับประวัติและเกียรติยศของ อ.ศิริรัตน์ เช่น แกเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษที่ไหนบ้าง และได้รับโล่ที่ไหนบ้างอีกหลายหน้า ผมตีไว้ที่หนา 300 หน้าเอห้า

27 ธันวาคม 2559

จะสิ้นปีแล้ว เปิดเทอมใหม่อีกไม่กี่วัน ผมต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับบทเรียน แต่นั่นหมายถึงผมต้องอ่านหนังสืออีกสิบกว่าเล่มให้จบ กระนั้นผมก็รู้สึกว่า การวิจารณ์หนังสือจุฬาฯ ไปแล้ว เมื่อวานผมก็เพิ่งอ่านหนังสือมช จบ ผมเห็นความแตกต่างของทั้งสองเล่มที่น่าสนใจ ผมน่าจะเขียนอะไรสักอย่าง และผมก็จะลงมือเขียนทันที

หนังสือเรียนในโลกนี้ (โลกของผม) ผมขอจัดประเภทไว้เป็นสองประเภท ประเภทแรกหนังสือเรียนดูถูกนักเรียน และประเภทที่สอง หนังสือเรียนคาดหวังกับนักเรียน แบบแรกสิ้นหวังกับนักเรียน เห็นว่านักเรียนที่อ่านคงไม่ไปสืบค้นหาข้อมูลต่อ อ่านเพื่อสอบ ดังนั้นไม่มีประโยชน์ที่จะเขียนให้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน ให้คิด แค่ใส่ข้อมูลตัดแปะ คนนั้นว่าอย่างนี้ คนนี้ว่าอย่างนั้นก็พอ ผมจัดหนังสือจุฬาฯอยู่ในประเภทนี้ ส่วนประเภทที่สอง ผู้เขียนต้องคิดวิเคราะห์อย่างหนัก เขียนอย่างไรให้คนเรียนไปคิดต่อ เขียนอย่างไรให้คนเรียนรู้สึกว่าหนังสือเรียนไม่ใช่ทั้งหมดแต่ยังต้องไปค้นหาต่อ มีความคาดหวัง ดังนั้นการเขียนจะมีปฏิสัมพันธ์ไม่ใช่แค่การตัดแปะ ผมจัดหนังสือมช. อยู่ในประเภทนี้

ผมจัดเกินเลยไปไหม? มันก็แล้วแต่จะมอง แต่ผมจะยกตัวอย่างให้ดูว่า เขาเขียนยังไงในเนื้อหาเดียวกัน ซึ่งทั้งสองเล่มก็มีหัวข้อตรงกันหลายหัวข้อ ผมจะยกมาให้ดูว่า เขานำเสนอให้ผู้เรียนแบบไหน??? ดูถูก หรือ คาดหวัง

การนำเสนอ และ ความหมายของสังคมวิทยา

จุฬาฯ: เปิดด้วยการแบ่งแยกศาสตร์ในโลกเป็น 3 คือมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวิชาวิทยาศาสตร์ จากนั้นแตกแขนงลงไปอีกว่าแต่ละศาสตร์นั้นแยกย่อยไปเป็นอะไร ในส่วนของความหมาย ยกคำนิยามจากคน 8 คน โดยสรุปคือ สังคมวิทยาเป็นการศึกษาสังคมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แม้ว่าในส่วนคุณลักษณะของสังคมวิทยาจะค่อนข้างแย้งกับคำนิยามโดยรวมอยู่บ้างคือ บอกว่าวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ normative approach ยังสำคัญอยู่

“แนวโน้มของการศึกษาสังคมในปัจจุบันจะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาศึกษาสังคมมากขึ้น (scientific method) ซึ่งประกอบด้วยการสังเกต การทดลอง และการเปรียบเทียบ แต่อย่างไรก็ตาม ในประเด็นที่ว่า จะใช้วิทยาศาสตร์มาศึกษาสังคมนั้นในความเป็นจริงจะเห็นได้ว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถใช้ศึกษาสังคมได้หมด เช่น ในเรื่องค่านิยม ความเชื่อ ไสยศาสตร์ เป็นต้น ... ในการศึกษาสังคมจึงยังคงมีทั้งลักษณะที่เป็น normative approach และ scientific method ผสมอยู่” (น.15)

ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า สังคมวิทยาจะต้องมีวิธีการศึกษาที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์มาอยู่บ้าง กระนั้นก็ดี ผู้เขียนไม่ได้ยกมาให้เห็นว่า คำนิยามตอนต้นกับการสรุปต่อมา เขาขัดแย้งกันตรงไหน ทำไมคนในตอนต้นถึงเชื่อว่าวิทยาศาสตร์ตอบได้หมด และในข้อสรุปตอนท้ายเขาคิดว่าในตอนต้นมีจุดอ่อนตรงไหนในการอธิบาย ผมอยากฝากบอกผู้เขียนด้วยว่า ถึงผมจะไม่ได้มีความรู้สูงอะไร แต่จากการอ่านหนังสือในรอบหลายปีมานี้ นิยามสังคมวิทยาที่ผู้เขียนยกมาล้าสมัยไปหรือไม่ ดีเบตในวงวิชาการไม่ใช่สังคมวิทยาควรจะมีวิธีการที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์มาเกี่ยวข้องไหม แต่ถามว่า สังคมวิทยาตัววิชามันเองเป็นวิทยาศาสตร์จริงหรือ?

มช.: เปิดด้วย วิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ที่ต้องการแสวงหาความรู้ ซึ่งวิธีการที่ยอมรับว่าดีที่สุดคือวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่ศตวรรษที่18 เป็นต้นมา จากนั้นอธิบายว่าวิทยาศาสตร์ต่างกับศาสนาอย่างไร วิธีการศึกษาวิทยาศาสตร์เป็นอย่างไร กล่าวมาถึงความคิดนี้มีผลอย่างไรต่อยุคแห่งแสงสว่างทางปัญญา การปฏิวัติอุตสาหกรรม จนนำมาซึ่งผลก็คือวิชาสังคมวิทยา ซึ่งข้อสรุปตอนต้นก็คือ การศึกษาสังคมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ดี ผู้เขียนได้อธิบายในหน้าต่อไปว่า ถึงกลุ่มนักคิดที่เห็นแย้งกับวิธีการศึกษาแบบประจักษ์นิยม เช่นกลุ่มนักคิดสังคมวิทยายุคหลังสมัยใหม่ ดังหน้า 22-23 เขียนว่า

“เช่น Studies in Ethonomethodology(1967) ของฮาโรลด์ กาฟิงเกล งานเขียนรวมผลงานทั้งทฤษฎี วิธีวิทยา และงานศึกษาเชิงประจักษ์ซึ่งตั้งคำถามต่อเนื่อง โครงสร้างความสัมพันธ์ที่ยึดโยงระหว่างปัจเจกกับสังคมนั้นว่า มิได้เป็นสิ่งที่มีอำนาจมั่นคงแน่นอนที่จะแปรเปลี่ยนไม่ได้ การกระทำทางสังคมของผู้คนไม่ได้ถูกกำหนดหรือกำกับควบคุมจากระบบกฎเกณฑ์ บรรทัดฐาน ค่านิยมทางสังคมอย่างแน่นอนตายตัว (ตามทรรศนะเชิงกำหนดที่มักปรากฏผ่านงานเขียนของนักสังคมวิทยา) ทว่าคือผลผลิตที่ถูกสร้างขึ้นผ่านกระบวนการตีความ ต่อรองอย่างต่อเนื่องของผู้กระทำ หรือกลุ่มทางสังคม ... สำหรับการ์ฟิงเกล สิ่งที่เดอร์ไคม์เรียกว่า “ข้อเท็จจริงทางสังคม” หรือโครงสร้างที่มองว่าเป็นตัวกำหนด เป็นพลังที่กำกับควบคุมการกระทำทางสังคมของผู้คนนั้นจำต้องถูกมาพิจารณาเสียใหม่ว่า คือสิ่งที่ถูกประกอบสร้างขึ้นทางสังคม (socially constructed) ผ่านการตีความ กิจกรรม การสร้างความหมายของผู้คน ในเงื่อนไขทางเศรษฐกิจสังคมที่พวกเขาดำเนินชีวิตอยู่”

เราจะเห็นว่า การเขียนเสนอภาพที่มีการเคลื่อนไหวทางความคิดที่ไม่ขาดตอน มีการยกเหตุผลว่าทำไมนักคิดแต่ละคนมองแตกต่างกันอย่างไร สังคมวิทยาทั้งที่มองแบบเป็นวิทยาศาสตร์และไม่เป็นวิทยาศาสตร์

นักคิด

จุฬาฯ: Auguste Comte ว่าเป็นคนตั้งชื่อศาสตร์สังคมวิทยา และเรียกมันว่า “ราชินีแห่งศาสตร์” แบ่งสังคมเป็น “ส่วนแรกคือสังคมสถิต ส่วนที่สองคือสังคมพลวัตร สังคมสถิตหมายถึงการศึกษาเกี่ยวกับระเบียบสังคมอันมุ่งอธิบายว่าสังคมดำรงอยู่ได้อย่างไร ส่วนสังคมพลวัตร หมายถึงการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสังคมและพัฒนาการทางด้านสถาบัน Comte มีความเห็นว่าสังคมต่างๆจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นขั้นๆ ไปในทางที่ จนกระทั่งสู่ภาวะสมบูรณ์คือสู่ความเพียบพร้อม ความเลอเลิศ” (น.26) Comte มีเทคนิคการศึกษาสังคมคือ ปฏิฐานนิยม (positivism)

จากนั้นพูดถึง Harriet Martineau มีผลงานอะไรบ้าง

“เห็นด้วยกับแนวคิดของ Comte แต่ Martineau มีความเห็นเพิ่มเติมว่าสิ่งที่ Comte เขียนนั้นมันจะมีประโยชน์อย่างมากถ้าได้แปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย” (น.27)

ผมรู้สึกตลกกับข้อความนี้ยังไงชอบกล ต่อด้วย Karl Marx พูดถึงระบบคิดว่าด้วยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจมีผลในการปฏิวัติ ต่อด้วย Herbert Spencer พูดถึง Emile Durkheim ในเรื่องการศึกษาสังคมต้องกระทำแบบเบ็ดเสร็จ และการศึกษาเรื่อง “social facts” ของเขา รวมถึง social solidarity และการฆ่าตัวตายที่แบ่งเป็น 3 ประเภทพร้อมยกตัวอย่างการศึกษาของเขา อย่างไรก็ดี ข้อมูลในส่วนประเภทการฆ่าตัวตาย ผมได้ชี้ให้เห็นแล้วว่าผู้เขียนพลาดประเภทที่สี่ไป จบด้วย Weber โดยชี้ให้เห็นว่าคำว่า Verstehen – เข้าใจ มีความคิดต่างจาก Marx อย่างไรในแง่การเปลี่ยนสังคม Weber เห็นว่า “ความคิดก็เป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งมีอิทธิพลก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่น ความเชื่อทางศาสนาอาจมีผลอย่างสำคัญต่อการพัฒนาของระบบทุนนิยม” (น.36) ลองมาเทียบกับอีกสำนักว่าเขียนอย่างไรบ้าง ?

มช.: อธิบายเริ่มที่ Comte เหมือนกัน แต่อธิบายอย่างให้พื้นฐานกว่าของจุฬาฯ คือ

“กองต์ เสนอว่ากฎทางสังคม เป็นสิ่งที่มีอยู่และสามารถที่จะค้นพบได้ด้วยวิธีการศึกษาเดียวกันกับที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาและค้นพบกฎธรรมชาติ (คือกฎแรงโน้มถ่วง) ที่อยู่เบื้องหลังกำกับความเป็นไปในจักรวาล นักสังคมวิทยาจะต้องเชื่อเสียก่อนว่าปรากฏการณ์สังคมนั้นสามารถจะศึกษาได้เช่นเดียวกับที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษารูปลักษณ์ หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติอื่นๆของโลกและจักรวาล” (น.9)

แนวคิดการแบ่งสังคมเป็นสองส่วนอธิบายเหมือนกัน แต่มช. อธิบายว่า ปฏิฐานนิยมคืออะไร? โดยที่จุฬาฯไม่ได้เขียนอธิบายเลย

“สังคมวิทยาแบบที่กองต์เสนอนั้นจะต้องศึกษาสังคมผ่านระเบียบวิธีเชิงวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะการสังเกต การทดลอง การวิเคราะห์เปรียบเทียบ และศึกษาเชิงประวัติศาสตร์ด้วยวิธีการเชิงวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่ออกัสต์ กองต์เชื่อว่าจะทำให้สังคมวิทยาสถาปนาขึ้นมาได้” (น.10)

เราจะเห็นว่ามีพลวัตรเกิดขึ้น

“อย่างไรก็ตามสิ่งที่กองต์เสนอในเวลานั้น ก็ยังเป็นเพียงแนวคิดเชิงปรัชญาของวิทยาศาสตร์สังคมที่มิได้นำไปสู่การศึกษาวิจัยเชิงประจักษ์แต่อย่างใด กระทั่งหลายศตวรรษต่อมา...”(น.10)

คนต่อมาที่ทำสานต่อแนวคิดของกองต์คือ Emile Durkheim

ซึ่งอธิบายว่า

“การศึกษาสังคมจะต้องมุ่งวิเคราะห์ศึกษาสิ่งที่เรียกว่า “ข้อเท็จจริงทางสังคม” (social facts) ซึ่งเดอร์ไคม์ หมายถึงระบบกฎเกณฑ์ ระบบความคิด ความเชื่อ ที่จะต้องพิจารณาว่าเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในฐานะที่เป็น พลังทางสังคม (social facts) เดอร์ไคม์กล่าวว่าแม้สิ่งที่เรียกว่า พลังทางสังคม ไม่อาจสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่มันจะต้องถูกนักสังคมวิทยากระทำเสมือนว่าเป็น “สิ่ง” สิ่งหนึ่งที่ดำรงอยู่และดำรงสถานะเสมือนพลังอำนาจที่อยู่ภายนอกตัวมนุษย์ เป็นอิสระจากมนุษย์ ทว่ามีอำนาจกำหนดชะตากรรม เหนือการกระทำของมนุษย์ สังคมวิทยาจะต้องมุ่งทำการศึกษาปรากฏการณ์วัฒนธรรมต่างๆเพื่อค้นหา “พลัง”หรือกฎทางสังคมที่ว่านี้ให้พบ และนำข้อค้นพบเหล่านั้นมาสร้างเป็นความรู้อธิบายปรากฏการณ์ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นและดำเนินไปในสังคม” (น.10-11)

ในเรื่อง solidarity ผู้เขียนไม่ได้แยกอธิบายถึง organic solidarity กับ mechanic solidarity แต่พูดถึง solidarity หรือแรงยึดเหนี่ยวทางสังคม เป็น2แบบคือ 1)พลังยึดเหนี่ยวเชิงกำกับควบคุมทางสังคม (social regulation) และ2) พลังยึดเหนี่ยวเชิงบูรณาการทางสังคม (social integration) ซึ่งเดอร์ไคม์วัดระดับพลังสังคมที่มีพลังสองอย่างนี้แตกต่างในการอธิบายสังคมนั้นว่ามีการฆ่าตัวตายในลักษณะไหน เช่น

“ในสภาวะสังคมที่มีระดับของพลังยึดเหนี่ยวเชิงกำกับควบคุมทางสังคมสูง (เช่น ในสังคมเกาหลีที่มีการคาดหวังของพ่อแม่ที่มีต่อลูกที่จะต้องได้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ) เดอร์ไคม์พบว่า สังคมดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะพบการฆ่าตัวตายแบบ Fatalistic suicide มากกว่าการฆ่าตัวตายแบบอื่นๆ”(น.11-12)

Fatalistic suicide คือการฆ่าตัวตายประเภทที่4 ซึ่งจุฬาฯไม่ได้อธิบายไว้ และการอธิบายการฆ่าตัวตายของจุฬาฯ ก็ไม่ได้พูดถึงแรงยึดเหนี่ยวทางสังคมทั้งสองซึ่งเดอร์ไคม์ไว้ใช้วัดสังคม

นักคิดคนต่อมาที่ผู้เขียน เขียนถึงคือ Weber เราจะเห็นความเป็นพลวัตรและการขัดแย้งทางความคิดของนักคิด โดยผู้เขียนจัดเขาไว้อยู่ที่ประเภท สังคมวิทยาเชิงตีความ ทำไม?

“สังคมวิทยาเชิงตีความ (interpretive sociology) ซึ่งแตกต่างไปจากข้อเสนอที่ออกัสต์ กองต์และเอมิล เดอร์ไคม์ได้วางรากฐานไว้ อย่างมาก เริ่มจากการที่เวเบอร์ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอเชิงความคิดของปรัชญาปฏิฐานนิยมที่ออกัสต์ กองต์ เสนอมากกล่าวคือขณะที่กองต์เสนอว่าเป้าหมายของการแสวงหาความรู้ของสังคมวิทยาและวิทยาศาสตร์ธรรมชาตินั้น มีความเหมือนกัน เวเบอร์กลับเสนอว่า ธรรมชาติมนุษย์หรือโลกทางสังคม (social world) นั้นโดยพื้นฐานแล้วมีลักษณะที่ต่างไปจากโลกทางวัตถุตรงที่นักสังคมวิทยาสามารถที่จะตีความทำความเข้าใจชีวิตทางสังคมของคนอื่นได้ ทั้ง(1)จากการสังเกตผ่านการกระทำต่างๆ ที่แสดงออกมา และ2) จากแรงจูงใจภายในที่ต้องอาศัยการตีความทำความเข้าใจผ่านประสบการณ์ร่วมและความรู้สึกนึกคิด”(น.12-13)

Weber ที่ผู้เขียนเขียน มีการเขียนถึง Verstehen เหมือนของจุฬาฯ ยังอธิบายถึง Ideal Type หรือตัวแบบเชิงอุดมคติของการศึกษาวิเคราะห์ 4 แบบ และในการอธิบายศาสนา ลองนำของจุฬาฯมาเทียบดูว่าอันไหนดูเข้าใจกว่ากัน

“ซึ่งเชื่อในลัทธิ Calvinism หรือเรื่อง “การเป็นผู้ที่ถูกเลือก” คือเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนที่เกิดมาและนับถือพระคริสต์ เมื่อตายไปจาโลกนี้มีกลุ่มหนึ่งที่จะถูกพระเจ้า “เลือก” ไปอยู่ด้วย ทว่าในความเป็นจริงในชีวิตประจำวันไม่มีใครรู้ว่าตนเองจะถูกเลือกหรือไม่ ในสังคมชุมชนลักษณะนี้จึงมีพัฒนาการของสิ่งที่เรียกว่า จริยธรรม หรือการทำดีเพื่อสาธารณะ คือจะต้องทำงานหนัก มุ่งทำงานให้ตนเองประสบความสำเร็จ แต่ขณะเดียวกันความสำเร็จนั้นก็ไม่ได้วัดมาจากการจะเป็นคนรวย/ไม่รวย ทว่าวัดจากคุณค่าของงานที่ทำว่ามีประโยชน์ต่อสังคมมากน้อยเพียงใด ฉะนั้นจริยธรรมการทำความดีของชุมชนโปสเตสแตนท์ (Protestant Ethic) จึงนำไปสู่การปฏิบัติของผู้คนที่เชื่อในลัทธิ “การเป็นผู้ที่ถูกเลือก” ...เวเบอร์ตีความอย่างน่าทึ่งว่า จริยธรรมการทำความดีของชาวโปรเตสแตนท์นั้นสอดประสานสัมพันธ์ไปกับจิตวิญญาณของนายทุน (Spirit of Capitalism) แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นของทุนนิยมโดยตรง ทว่าจริยธรรมของการทำความดี(ของชาวโปรเตสแตนด์) คือปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดจิตวิญญาณแบบทุนนิยม ซึ่งเป็นพลังวัฒนธรรมที่ก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการก่อตัวของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในสังคมสมัยใหม่"(น.15-16)

ถัดจากนักสังคมวิทยาเชิงตีความ ผู้เขียนจัดให้ Karl Marx อยู่ในส่วนสังคมวิทยาแนววิพากษ์ เราก็จะเห็นการขัดแย้งทางความคิดอีก “อย่างไรก็ตามในอีกด้านหนึ่งวิทยาศาสตร์สังคมของมาร์กซ์นั้น (ว่ากันว่า) พัฒนาขึ้นเพื่อโต้ตอบและวิพากษ์ฟิสิกส์ทางสังคมของออกัสต์ กองต์โดยตรง” (น.16) หรือ

“สังคมวิทยาเชิงวิพากษ์หรือนักลัทธิมาร์กซ์ ก็วิพากษ์วิจารณ์ต่อสังคมวิทยาเชิงตีความว่า การมุ่งเน้นให้ความสำคัญต่อตัวตน ลักษณะเชิงอัตวิสัยและสัมพัทธ์นิยม (Relativism) มากเกินไป ทำให้มีแนวโน้มที่วิธีการศึกษาดังกล่าวจะมองข้ามอำนาจโครงสร้างที่ดำรงอยู่ในสังคม สังคมวิทยาเชิงตีความในสายตาของนักสังคมวิทยาลัทธิมาร์กซ์ จึงเป็นแค่เพียงวิทยาศาสตร์ที่ “ตายด้านกับปัญหาของสังคม” (น.16)

เมื่อกี่เราอ่านเวเบอร์อาจจะเห็นด้วยกับเขาทันที แต่พอมาอ่านการโต้แบบนี้ก็ทำให้ผู้เรียนต้องคิดว่า เขาจะเลือกเชื่ออะไร เขาจะต้องค้นข้อมูลเพิ่มเสียแล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับการบอกวงเล็บว่าสังคมของมาร์กซ์เป็น Utopian Society (น.17) อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ยังถกเถียงได้ ถัดจากมาร์กซ์ ผู้เขียนเสนอสังคมวิทยาในโลกสมัยใหม่ และสังคมวิทยากับสภาวะหลังสมัยใหม่ซึ่งท้าทายกับแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ อย่างที่ยกตัวอย่างในส่วนก่อน ยังมีการเสนอให้ผู้เรียนเห็น ข้อถกเถียง โครงสร้างหรือผู้กระทำ (structure versus agency) ของ Pierre Bourdieu และ Anthony Giddens ขึ้นมาซึ่ง

“ปฏิเสธและท้าทายสถานะของศาสตร์สังคมวิทยา และเรียกร้องให้บรรดานักคิด นักสังคมวิทยาได้หวนกลับมาทบทวนตรวจสอบแนวคิด วิธีวิทยา และสถานะความเป็นวิทยาศาสตร์ของสังคมวิทยา ทั้งภายในสาขาและก้าวข้ามศาสตร์สาขาด้วยมุมมองปรัชญาใหม่ๆที่อาจเรียกหลวมๆว่า กระแสนิยมหลังสมัยใหม่” (น.23)

นอกจากนี้มีมช.พูดถึงสังคมวิทยาแนวสตรีนิยม (feminism) แนวคิดหลังสมัยใหม่ และ

วัฒนธรรมศึกษา (cultural studies)

Comments


bottom of page